OBD คืออะไร?

OBD ย่อมาจาก (On-board Diagnostics) เป็นระบบวิเคราะห์การทำงานของเครื่องยนต์พร้อมแจ้งเตือนคนขับเพื่อบอกสาเหตุถึงความผิดพลาดทั้งในส่วนของซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ การวิเคราะห์และแจ้งเตือนแบบ OBD นั้น ถือเป็นมาตรฐานที่ผู้ผลิตรถยนต์ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้รถยนต์ทุกค่ายมีความสอดคล้องกัน อย่างเช่น รถยนต์ BMW โดยในอดีตนั้น รถยนต์ทุกค่ายจะต้องมีระบบ OBD I (OBD Level 1)

OBD I คืออะไร?

ระบบ OBD I นั้น เป็นระบบวิเคราะห์เครื่องยนต์เบื้องต้น เมื่อ ECU ตรวจพบว่า เครื่องยนต์หรือระบบใดๆ มีการทำงานที่ผิดปกติ จะปรากฏหลอดไฟกระพริบที่แผลหน้าปัด แต่จะไม่แจ้งสาเหตุว่าความผิดปกตินั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร? ซึ่งนี่ก็คือข้อด้อยของระบบ OBD I

ระบบ OBD I ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.1980 โดยฟังก์ชั่น OBD นั้น จะถูกฝังอยู่ใน ECU และจะตรวจสอบการทำงานของระบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้น สมาพันธุ์ยานยนต์นานาชาติหรือ SAE จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของระบบ OBD และได้มีการผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์พัฒนาระบบ OBD ให้มีความสอดคล้องและมีความล้ำสมัยมากขึ้น จนกระทั่งกลายมาเป็น OBD II ที่เราสามารถพบเห็นได้อย่างแพร่หลายในรถยนต์ยุคปัจจุบัน

การถือกำเนิดของ OBD II

ระบบ OBD II นั้น ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก OBD I สำหรับ OBDII นั้น นอกจากจะสามารถแจ้งเตือนถึงความผิดปกติแล้ว ยังสามารถบ่งบอกสาเหตุของปัญหาได้อีกด้วย จึงถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้รถยนต์โดยตรง รวมไปถึงศูนย์บริการที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรถยนต์ ปกติแล้ว ปลั๊ก OBDII จะถูกติดตั้งไว้ภายในห้องโดยสาร ด้านล่างของคอนโซล

พื้นฐานการทำงานของระบบ OBDII

นอกจากระบบ OBD II จะสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนความผิดปกติได้แล้ว อีกหนึ่งวัตถุประสงค์ที่ SAE บังคับใช้ระบบ OBD II กับรถยนต์ทุกประเภทนั้น ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับมาตรฐานมลพิษทางไอเสีย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากรถยนต์คันหนึ่ง มีระบบการเผาไหม้ที่ผิดปกติ หรือมีระบบกรองไอเสียที่ผิดปกติ จนทำให้มีปริมาณไอเสียเกินมาตรฐาน ระบบ OBD II จะแจ้งเตือนโดยการโชว์ไฟเตือนที่แผงหน้าปัดโดยทันที เพื่อให้ผู้ขับขี่จะได้นำรถยนต์เข้าไปตรวจสอบที่ศูนย์บริการเพื่อหาสาเหตุต่อไป

ตำแหน่ง PIN ของปลั๊ก OBDII

ค่าที่อ่านได้จากพอร์ต OBDII จะเป็นโค้ดสี่หลัก

โดยเราสามารถทราบถึงปัญหาเบื้องต้นได้โดยการอ้างอิงจากรูปด้านบน

OBD II Scanner คืออะไร?

ในปัจจุบันนี้ สแกนเนอร์ OBDII ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อเป็นการตรวจวัดค่าต่างๆ ที่อ่านได้จากเซ็นเซอร์รอบเครื่องยนต์ (รวมไปถึงข้อมูลที่ได้จากการประมวลผล) ถือเป็นเครื่องมือที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการวิเคราะห์การทำงานของเครื่องยนต์ในรถยนต์ยุคปัจจุบัน และที่สำคัญ การใช้เครื่องมือสแกนเนอร์ จะทำให้เราสามารถตรวจสอบความผิดปกติและวิเคราะห์ความผิดพลาด เป็นผลให้สามารถทำการแก้ไขปัญหาและซ่อมแซมเครื่องยนต์ได้อย่างตรงจุด

ใส่ความเห็น